ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับเด็กรุ่นใหม่ Gen-Z ที่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ทำให้ค่านิยมในการทำงานของสังคมเริ่มแตกต่างไปจากที่เคยมี เช่น กระแส Work life balance แยกการทำงานออกจากชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน เน้นความเป็นอิสระ ชีวิตต้องมีความยืดหยุ่น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เดี๋ยวนี้เราจึงเห็นธุรกิจใหม่ ๆ หรือ Start-up ที่แม้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่ ไม่ได้มีจำนวนพนักงานเยอะ ออฟฟิศไม่ได้ใหญ่โต เกิดขึ้นมาเยอะมาก ขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นเทรนด์อีกอย่างหนึ่งที่เกิดควบคู่มากับธุรกิจขนาดเล็ก นั่นคือ “โฮมออฟฟิศ”
โฮมออฟฟิศ เป็นตัวชี้วัดที่ดีว่าค่านิยมการทำงานในสังคมกำลังจะเปลี่ยนไป เพราะโฮมออฟฟิศก็มาจากการนำคำว่า “โฮม (Home)” ที่แปลว่าบ้าน กับ “ออฟฟิศ (Office)” ที่แปลว่าสถานที่ทำงานมาผสมรวมกัน กลายเป็นบ้านกึ่งออฟฟิศ หรือออฟฟิศในบ้าน ซึ่งแฝงค่านิยมของคนรุ่นใหม่อยู่ในนั้น ยิ่งในวิกฤติ COVID-19 บวกกับกระแสที่คนเน้นการทำงานแบบ Remote Work แบบนี้ ทำให้บทบาทของออฟฟิศในตึกใหญ่กำลังถูกลดความสำคัญลงไป แทนที่ด้วยการมาของสมาร์ทโฮม ที่เราสามารถดัดแปลงหรือรีโนเวทบ้านของเราเองให้เป็นโฮมออฟฟิศได้ไม่ยาก
กรณีที่เราต้องการเปลี่ยนบ้านของเราให้เป็นโฮมออฟฟิศด้วยตัวเอง เราสามารถออกแบบให้เข้ากับไลฟ์สไตล์หรือธุรกิจของเราได้เลย แต่หากใครต้องการความสะดวกสบายยิ่งกว่านั้น เดี๋ยวนี้ก็มีหลายโครงการที่ออกแบบบ้านมาเพื่อเป็นทั้งบ้านและโฮมออฟฟิศโดยเฉพาะ โฮมออฟฟิศ ที่จริงแล้วก็ไม่ต่างไปจากบ้านที่เราอยู่อาศัยกันทั่วไป ไม่มีลักษณะตายตัว เป็นได้ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือตึกแถว ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแบ่งสัดแบ่งส่วนระหว่างธุรกิจและบ้านในรูปแบบไหน
โฮมออฟฟิศที่เราเห็นกันส่วนมาก มักจะอยู่ในรูปแบบทาวน์โฮมที่มี 3 ชั้นขึ้นไป เนื่องจากสามารถแบ่งพื้นที่ได้ชัดเจน เช่น ชั้นล่างสำหรับเป็นที่ทำงาน ส่วนชั้นบนสุดเป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ โฮมออฟฟิศส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่นอกเขตธุรกิจ (CBD) ซึ่งมีตึกสำนักงานสูง ๆ อยู่หนาแน่น ดังนั้นพื้นที่จึงยืดหยุ่นได้ และบรรยากาศก็ดูมีความสบายมากกว่า
สำหรับใครที่ต้องการปรับเปลี่ยนบ้านให้เป็นโฮมออฟฟิศ สมาร์ทโฮม หรือกำลังหาทำเลดี ๆ อยู่ ควรคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบ
ไม่ว่าจะรีโนเวทบ้านที่มีอยู่แล้ว หรือเลือกซื้อโฮมออฟฟิศใหม่ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก่อนเรื่องอื่น ๆ ก็คือเรื่องของทำเลที่ตั้ง ก็จริงอยู่ที่โฮมออฟฟิศจะเน้นความสะดวกสบายของผู้ทำงาน แต่การทำธุรกิจต่าง ๆ แน่นอนว่าความสะดวกสบายของลูกค้าก็สำคัญ ดังนั้นเราจึงควรดูด้วยว่า โฮมออฟฟิศของเราเดินทางมาได้สะดวกหรือไม่ แม้โฮมออฟฟิศส่วนใหญ่จะไม่ได้ตั้งอยู่ในเขต CBD ที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึงอย่างสะดวกสบาย แต่ก็ควรจะสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก เช่นอยู่ใกล้ทางด่วน หรือไม่ไกลจากขนส่งสาธารณะเป็นต้น
โฮมออฟฟิศอาจมีลักษณะคล้ายกับบ้านพักอาศัย บางแห่งก็อยู่ในโครงการจัดสรร พื้นที่ใช้สอยก็มีขนาดแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเมื่อจะเลือกโฮมออฟฟิศ โดยเฉพาะการจะปรับเปลี่ยนบ้านของเราเอง นั่นคือ
ปกติแล้ว หากเป็นตึกสำนักงานต่าง ๆ ย่อมมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ขณะที่โฮมออฟฟิศ แม้จะอยู่ในโครงการจัดสรรที่มีป้อมยาม แต่ในแต่ละวันก็มักจะมีคนเข้าออกโครงการเป็นจำนวนมาก ทั้งพนักงานและผู้ติดต่อ ดังนั้นเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยก็เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เช่น กล้องวงจรปิด ระบบประตูอัตโนมัติที่อาจใช้เป็นระบบสแกนลายนิ้วมือเพื่อสกรีนคนเข้า-ออก
นอกจากในส่วนพื้นที่ทำงานแล้ว เรายังต้องให้ความปลอดภัยพื้นที่อยู่อาศัยไม่แพ้กัน นอกจากควรจะแยกออกจากออฟฟิศอย่างชัดเจนแล้ว เราก็ควรติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในส่วนนี้อย่างแน่นหนาด้วย และควรตั้งกฎกับพนักงานให้ชัดเจนว่าสามารถเข้าพื้นที่ในส่วนใดได้บ้าง
การทำงานยุคใหม่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี จึงควรคำนึงถึงระบบอินเตอร์เน็ตว่ามีความเสถียรพอสำหรับทำงานหรือไม่ เพราะจำเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ และติดต่อกับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมทางไกลจะให้อินเตอร์เน็ตติดขัดไม่ได้เป็นอันขาด
นอกจากนั้นยังควรติดตั้งเทคโนโลยีป้องกันการโจรกรรมข้อมูลให้ดี เพราะในปัจจุบันมีภัยคุกคามทางไซเบอร์มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบแอนตี้ไวรัส ระบบพาสเวิร์ด ระบบยืนยันตัวตนในการเข้าถึงข้อมูลของบริษัท ฯลฯ เนื่องจากโฮมออฟฟิศจะต่างจากบริษัทใหญ่ ๆ ที่อาจไม่ได้มีการคำนึงถึงความปลอดภัยในด้านนี้อย่างเพียงพอ
สำหรับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่จะทำให้ทั้งการทำงานและการพักผ่อนง่ายขึ้น ได้แก่ ระบบสมาร์ทโฮม ระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟอัจฉริยะ ระบบเปิด-ปิดเครื่องใช้อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน และลดค่าไฟได้อย่างดี รวมถึงอุปกรณ์อัจฉริยะที่ยุคนี้ไม่มีไม่ได้ นั่นคือ กลอนประตูดิจิตอล หรือ Smart Lock ที่สามารถเปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็น Smart Home ได้อย่างง่ายดาย
ทำไมโฮมออฟฟิศถึงมาแรงได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะมีข้อดีนั่นเอง
การทำธุรกิจในโฮมออฟฟิศช่วยลดต้นทุนให้เราหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ค่าเช่า” แม้ว่าผลกระทบจาก COVID-19 จะทำให้ราคาตลาดอาคารสำนักงานหดตัวลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแพงเกินไปสำหรับบริษัทเล็ก ๆ อยู่ดี อย่างผลสำรวจราคาที่ดินย่าน CBD ของศูนย์วิจัยหลายแห่ง พบว่าปี 2565 ทำเลในพื้นที่เหล่านี้ยังมีราคาสูงมาก อย่างอันดับ1 ที่แพงที่สุดได้แก่ ย่านสยาม-ชิดลม-เพลินจิต มีราคาที่ดินตารางวาละ 3,300,000 บาทเลยทีเดียว แต่หากมาเทียบกับโฮมออฟฟิศที่อาจจะอยู่ห่างมาในแถบชานเมืองหน่อย แต่ยังคงความสะดวกสบาย พบว่ามีราคาเริ่มต้นที่ 1-6 ล้านเท่านั้น ซึ่งช่วยให้การเริ่มต้นธุรกิจของเราง่ายขึ้นอย่างมาก
เมื่อตัดสินใจลงทุนซื้อ สุดท้ายแล้ว โฮมออฟฟิศหลังนี้ก็จะต้องตกเป็นของเรา จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ได้ทั้งธุรกิจและที่พักอาศัย ยิ่งหากตั้งอยู่ในทำเลที่ดีด้วยแล้ว ในอนาคตราคาอาจพุ่งสูงขึ้น จึงสามารถทำกำไรได้อีกด้วย
อิสระในที่นี้ ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ในแง่ของการทำงาน ด้วยสเปซที่สามารถดัดแปลงได้ตามต้องการ ทำให้เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ได้ดี อีกทั้งเวลาของการทำงานยังยืดหยุ่นได้ ปรับเวลาเข้าหรือเลิกงานได้ตามต้องการ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเครื่องใช้ไฟฟ้ากรณีทำงานล่วงเวลาที่สำนักงานตามอาคารใหญ่ ๆ จะต้องจ่ายกันเป็นรายชั่วโมง นอกจากนี้ในด้านการใช้ชีวิตยังทำให้เรามี Work Life Balance ที่ดี เมื่อทำงานเสร็จแล้วสามารถขึ้นไปพักผ่อนที่โซนพักอาศัยด้านบนกับครอบครัวได้ทันที ทั้งยังมีเวลาสำหรับทำกิจกรรมที่ชอบเป็นการคลายเครียดหลังการทำงานได้มากขึ้นอีกด้วย
แน่นอนว่าเจ้าของโฮมออฟฟิศไม่ต้องเสียเวลาเดินทางอยู่แล้ว ทำธุระส่วนตัวเสร็จเมื่อไหร่ก็สามารถลงมาเริ่มงานได้ทันที ส่วนพนักงานก็ไม่ต้องผจญกับรถติดเหมือนในย่าน CBD เนื่องจากโฮมออฟฟิศส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ในแถบชานเมืองห่างไกลความแออัด
แม้ว่าเราจะชี้ให้เห็นข้อดีมากมายของโฮมออฟฟิศ แต่ก็อย่าลืมคำนึงถึงข้อเสียของการทำงานและการอยู่อาศัยในรูปแบบนี้ด้วย
โฮมออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นบ้านส่วนตัว หรือในโครงการจัดสรรมักจะต้องประสบปัญหาเรื่องเดียวกัน นั่นคือที่จอดรถ แม้จะมีพื้นที่ออฟฟิศกว้างขวางเป็นอิสระ แต่พื้นที่จอดรถก็มีจำกัด ดังนั้นอาจไม่เหมาะกับการเปิดบริษัทที่ต้องมีพนักงานจำนวนมาก ๆ หรือมีผู้ติดต่อเยอะ
ถึงแม้ว่าเราจะแบ่งสรรปันส่วนระหว่างโซนออฟฟิศกับที่พักส่วนตัวไว้ดีขนาดไหน หรือใช้เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยสุดล้ำเพียงใด แต่โฮมออฟฟิศก็เป็นเหมือนพื้นที่กึ่งสาธารณะอยู่ดี เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพนักงาน หรือลูกค้าเดินเข้าออกตลอดเวลา ทางที่ดีควรตั้งกฎให้ชัดเจน และเน้นเรื่องความปลอดภัยในทุกโซนให้มาก ๆ
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชาวโฮมออฟฟิศมักจะเจอกวนใจอยู่บ่อย ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ซึ่งหมายรวมถึงตำแหน่งที่ตั้งของออฟฟิศย่อมส่งผลต่อสายตาของลูกค้า โฮมออฟฟิศซึ่งบางแห่งไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจอาจเสียเปรียบบรรดาสำนักงานในแถบ CBD ดังนั้นจึงควรตกแต่งโฮมออฟฟิศของเราที่สื่อถึงความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับสไตล์ของธุรกิจเราเอง
โฮมออฟฟิศมีข้อดีคือพื้นที่กว้างขวางกว่าบนตึกระฟ้าในราคาย่อมเยา แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือทำเลซึ่งอาจเดินทางสะดวกน้อยกว่าย่านใจกลางเมือง เช่น ไม่ติดรถไฟฟ้า ต้องเดินทางด้วยรถยนต์เท่านั้น เป็นต้น
กระแสโฮมออฟฟิศกำลังเป็นที่จับตามองท่ามกลางวิถีชีวิตการทำงานที่เปลี่ยนไป อีกทั้งตลาดแรงงานยังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ โฮมออฟฟิศมีข้อดีมากมาย ทั้งพื้นที่กว้างขวาง ความเป็นอิสระในการทำงาน ตอบโจทย์ Work Life Balance คนยุคใหม่ได้อย่างดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องคำนึงถึงข้อด้อย โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวด้วย.
ลดเวลาการเดินทางไปทำงาน
หนึ่งในข้อดีของการแปลงบ้านให้เป็น Home Office คือการไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทางไป และกลับที่ทำงาน บางคนอาจใช้เวลาไปกลับถึง 2 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งจำนวนเวลาขนาดนี้ คุณสามารถดีไซน์ไลฟ์สไตล์ให้มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นได้ เช่น แบ่งเวลาไปออกกกำลังกายช่วงเช้า ได้เวลาทำงานอดิเรกหรืออ่านหนังสือเล่มโปรด ก็ย่ิงทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ดีไซน์พื้นที่ได้ตามใจ
ถ้าเป็นพื้นที่ทำงานของสำนักงานใหญ่ๆ พื้นที่ก็มักจะมีโต๊ะ เก้าอี้ แบ่งสัดส่วนไว้เรียบร้อยแล้ว แต่บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ใช้พื้นที่ของสำนักงานให้คุ้มกับค่าเช่า ซึ่งแตกต่างจากโฮมออฟฟิศ ที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันของพื้นที่ได้ตามต้องการ จะดีไซน์พื้นที่ทำงานแบบเปิด ห้องประชุมเล็กๆ พื้นที่แชร์ไอเดีย ฯลฯ เพื่อให้ได้ออฟฟิศที่คุณต้องการได้อย่างแท้จริงลดต้นทุนเรื่องการเช่าสำนักงาน
เมื่อใช้โฮมออฟฟิศเป็นที่ทำงาน ทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าอีกต่อหนึ่งเพื่อเช่าสำนักงานใหญ่ๆ เป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องการเช่าออฟฟิศได้ไม่น้อยเลยจอดรถง่าย
ถ้าที่ทำงานของคุณไปเช่าตามสำนักงานใหญ่ๆ ที่อาจจะมีการคิดจำนวนคนและให้ที่จอดรถ ไม่มากนัก แต่ถ้าเลือกโฮมออฟฟิศเป็นที่ทำงานก็จะสามารถจอดรถในโครงการได้ไม่จำกัด แถมยังมีระบบรักษาความปลอดภัยได้คอยดูแลอยู่ด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง
บรรยากาศของโฮมออฟฟิศก็จะให้ความเป็นกันเองมากกว่าบรรยากาศของสำนักงานใหญ่ๆ ที่มีหลายสิบชั้น นอกจากพื้นที่ทำงานที่เป็นกันเอง ยังสามารถดีไซน์เวลาการทำงานได้เอง ไม่ต้องอิงกับระบบของอาคารใหญ่ๆ เท่านี้ก็ช่วยให้บรรยากาศการทำงานผ่อนคลาย เป็นกันเองและสร้างสรรค์ขึ้นได้ง่ายๆ เลย อ่านถึงตรงนี้แล้วบางคนอาจจะเริ่มรู้สึกว่าอยากมีโฮมออฟฟิศเป็นของตัวเองเพื่อเริ่มทำธุรกิจหรือลงทุนปล่อยเช่า ที่ Norden Barn B&B เรามีโฮมออฟฟิศดีไซน์ใหม่ที่เป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำธุรกิจ สร้างรายได้ให้คุณ ปล่อยเช่าก็ดี มีคนรอเช่าเพียบกับทำเลที่สันทราย - แม่โจ้ ใกล้แหล่งธุรกิจ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และแหล่งชุมชน เดินทางง่ายใกล้ถนนใหญ่ กับฟังก์ชันภายในที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย พื้นที่กว้าง ตอบโจทย์กับ 3 ชั้น 4 ห้องนอนและห้องน้ำ พร้อมจอดรถได้ 2 คัน และส่วนกลางสระว่ายน้ำให้คุณได้ผ่อนคลายตลอดการอยู่อาศัย โฮมออฟฟิศ ทำเลดี ฟังก์ชันตอบโจทย์ ลงทุนก็คุ้ม อาศัยเองก็ดีสุดๆ เริ่มต้น 4.XX ล้านบาทเท่านั้น! ติดต่อนัดเข้าชมวันนี้รับสิทธิพิเศษ ส่วนลดหลายรายการ สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร : 064 481 2555 หรือ 061 902 3993 Facebook : https://www.facebook.com/Nordenassets Tag : ทาวน์โฮมเชียงใหม่ โฮมออฟฟิศ เชียงใหม่ สันทราย แม่โจ้ Home Officeไฟในสวน ปลุกความสว่างไสวยามค่ำคืน สร้างบรรยากาศบ้านสวย
คงไม่มีใครไม่ชอบให้บ้านอบอวลไปด้วยบรรยากาศดีๆ โดยเฉพาะบ้านที่มีพื้นที่สวน ซึ่งสามารถตกแต่งเปลี่ยนมิติให้บ้านแตกต่างไปจากเดิมได้อย่างไม่น่าเชื่อ และหนึ่งในอุปกรณ์ตกแต่งสวนยอดนิยมคงไม่พ้นไฟแต่งสวน อุปกรณ์ให้ความสว่างแต่สามารถเปลี่ยนบ้านให้มากเสน่ห์ได้ในพริบตา
ไฟในสวนมีแบบไหนบ้าง?
ไฟแต่งสวนมีหลายรูปแบบ หากเลือกประเภทไฟในสวนที่เหมาะกับพื้นที่และขนาดของต้นไม้ ก็จะยิ่งเสริมบรรยากาศให้สวนในบ้านกลายเป็นสถานที่พักผ่อนแสนอบอุ่นได้ไม่ยาก ลองมาดูกันว่าไฟจัดสวนแต่ละประเภทจะเหมาะกับการใช้งานแบบใดบ้าง
ไฟจัดสวนแบบโคมไฟเสาสูง และโคมไฟสนาม
ไฟจัดสวนแบบโคมไฟเสาสูงและโคมไฟสนาม จะมีขนาดความสูงประมาณ 2.5-4 เมตร ซึ่งเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ หรือมีทางเดินในสวนกว้างประมาณ 3-10 เมตร โดยนอกจากจะใช้ประดับตกแต่งสวนแล้ว ไฟในสวนประเภทนี้ยังสามารถมอบแสงสว่างในตอนกลางคืนได้ดี โดยควรเว้นระยะห่างระหว่างไฟจัดสวนแต่ละต้นประมาณ 6-12 เมตร
ไฟจัดสวนแบบโคมไฟเตี้ย
เป็นโคมไฟที่ได้รับความนิยมในการนำมาตกแต่งสวน ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่ ความสูงไม่เกิน 1 เมตร สามารถวางเว้นระยะระหว่างต้นได้ 4-6 เมตร ทำให้เหมาะกับจัดวางในสวนที่มีพื้นที่ขนาดกลางเป็นต้นไป สามารถให้แสงสว่างเพื่อบอกตำแหน่งทางเดินและสร้างบรรยากาศได้ดี
ไฟจัดสวนระดับพื้นดิน หรือโคมไฟส่อง
โคมไฟรูปทรงกระบอกที่มีฐานปักในระดับพื้นดิน โดยมี 2 ประเภทการใช้งาน ทั้งโคมไฟแบบส่องขึ้น (Up Light) ซึ่งจะนิยมจัดวางบริเวณโคนต้นไม้หรือตกแต่งผนัง เพื่อให้แสงสามารถสะท้อนวัตถุได้ชัดเจน และอีกประเภทคือ โคมไฟแบบส่องลง (Down Light) ซึ่งจะนิยมตกแต่งบริเวณบนต้นไม้หรือบนที่สูง เพื่อให้แสงสว่างส่องมาบริเวณพื้นได้
ไฟจัดสวนแบบโคมไฟฝังพื้น
เป็นโคมไฟขนาดเล็กที่มีหลายรูปทรงให้เลือก เหมาะสำหรับพื้นที่สวนที่มีการตกแต่งบริเวณผนัง ทางเดินมีของตกแต่งอื่นๆ หรือติดตั้งบริเวณใกล้ต้นไม้ นอกจากจะสร้างบรรยากาศให้กับสวนได้แล้ว ยังใช้เป็นแสงนำทางบริเวณทางเดินได้ อย่างไรก็ตามการติดตั้งโคมไฟแบบฝังพื้นควรทำรูระบายน้ำใต้ตัวโคมไฟ เพื่อป้องกันน้ำขัง หรือเลือกโคมไฟที่มีค่ามาตรฐานในการกันน้ำ IP67 หรือ IP68 ซึ่งหมายความว่าโคมไฟสามารถอยู่ในน้ำลึกท่วมถึงได้ไม่เกิน 1 เมตร และป้องกันได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร ในระยะเวลาครึ่งชั่วโมงและมีประสิทธิภาพในการทนทานต่อฝุ่น
ไฟจัดสวนแบบโคมไฟติดผนัง
ลักษณะการใช้งานคล้ายกับโคมไฟฝังพื้น เพียงแต่เปลี่ยนจุดติดตั้งไปบริเวณผนัง ซึ่งในบางอุปกรณ์สามารถใช้งานแทนกันได้ เหมาะสำหรับตกแต่งพื้นที่ภายนอกที่มีขนาดกว้าง โดยเฉพาะบริเวณทางเดิน ริมขอบบันได หรือซ่อนตามผนังเพื่อเพิ่มลูกเล่นในการสร้างบรรยากาศ
ไฟจัดสวนแบบเส้น
ปัจจุบันไฟเส้น LED ได้รับความนิยมในการนำมาใช้ตกแต่งทั้งภายในและภายนอกบ้าน เพราะมีราคาที่ไม่แพง สามารถจัดวางได้หลากหลาย มีความสว่างกำลังพอดี จึงนิยมมาใช้ตกแต่งบริเวณทางเดิน ม้านั่ง โต๊ะ เพื่อเพิ่มบรรยากาศพื้นที่นั่งเล่นในสวน หรืออาจใช้ในเวลามีงานปาร์ตี้ในสวนก็ได้
ไฟแต่งสวนติดตั้งจุดไหน จัดวางอย่างไรให้สวย
หากเป็นบ้านเดี่ยวทั่วไปที่มีพื้นที่สวนขนาดไม่ได้ใหญ่นัก หรือเป็นสวนขนาดเล็กอาจจะเลือกจุดติดตั้งที่เหมาะสมทั้งกับขนาดพื้นที่สวนและประเภทของโคมไฟจัดสวนได้ รับรองว่าสามารถเปลี่ยนสวนให้กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนในฝันได้เช่นกัน โดยจุดติดตั้งโคมไฟแต่งสวนที่นิยมและสามารถปรับใช้ได้ในสวนทุกขนาดมีด้วยกัน 3 จุด ได้แก่
ไฟแต่งสวนเพื่อส่องต้นไม้
ใช้โคมไฟประเภทโคมไฟส่อง โคมไฟฝังพื้น หรือโคมไฟเตี้ยก็ได้ โดยติดตั้งในตำแหน่งใกล้กับต้นไม้ และเลือกระยะห่างของโคมไฟกับต้นไม้ตามการกระจายแสงของโคมไฟ โดยหากเป็นโคมไฟที่กระจายแสงกว้าง ควรติดตั้งกับต้นไม้ทรงพุ่มกว้าง และหากเป็นโคมไฟที่กระจายแสงแบบแคบ ควรใช้กับต้นไม้ที่มีลำต้นสูง แต่ต้นไม้ไม่ควรสูงเกิน 4 เมตร และจัดวางมุมให้แสงไฟสะท้อนเข้าต้นไม้ในมุม 35 องศา
ไฟแต่งสวนเพื่อส่องสนาม
หากใช้ตกแต่งบริเวณพื้นที่สวนหรือสนาม สามารถเลือกใช้โคมไฟได้ทุกประเภท ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและจุดติดตั้ง หากต้องการเพิ่มแสงสว่างบริเวณทางเดินควรใช้โคมไฟแบบฝังพื้น โคมไฟติดผนัง ไฟเส้น หรือโคมไฟเตี้ย แต่หากพื้นที่สวนมีขนาดใหญ่ก็สามารถเลือกใช้โคมไฟสนามหรือโคมไฟเสาสูงได้
ไฟแต่งสวนแบบไฟทางเดิน
ไฟทางเดินมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นแสงนำทาง ป้องกันอุบัติเหตุ และเสริมบรรยากาศให้อบอุ่นน่าอยู่ สามารถเลือกใช้โคมไฟแบบฝังพื้น โคมไฟติดผนัง หรือไฟเส้น ติดตั้งได้ตามจุดที่เหมาะสม เช่น หากเป็นไฟซ่อนใต้ท้องบันได ใต้ม้านั่ง หรือโต๊ะในสวน สามารถใช้ไฟฝังพื้นหรือไฟเส้น แต่หากต้องการติดตั้งบริเวณผนังหรือพื้น ก็เลือกใช้โคมไฟแบบฝังพื้นและโคมไฟติดผนังได้